ถ้าใครเล่น TikTok ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเจอกองทัพดาราทั่วฟ้าเมืองไทยแทบจะยกขบวนไปไลฟ์กับเจนนี่ รัชนก (เจนนี่ได้หมดถ้าสดชื่น) ซึ่งการไปไลฟ์ดังกล่าวนั้นไม่ไก้ไปไลฟ์ฟรี ๆ ด้วย เพราะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูงถึง 10 นาที 50,000 บาทกันเลยทีเดียว

เราลองมาดูกันค่ะว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ เทศกาลเจนนี่ ทำรายได้รวม 6 วันไปถึงกว่า 500 ล้านบาท
เพราะคนไทยชอบดราม่า
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่ทำให้ไลฟ์คุณเจนนี่นั้นเป็นกระแสถล่มทลายนั้นมาจากการที่มีดราม่ากับแม่เกตุ แม่แท้ ๆ ของคุณเจนนี่เองทำให้คนหันมาสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นและก่อให้เกิดเป็นกระแสติดตามดูไลฟ์บนแพล็ตฟอ์ม TikTok ซึ่งหลังจากที่พูดเรื่องดรามาจบ แต่เจนนี่ก็ยังไม่ปิดไลฟ์ แต่ได้ใช้โอกาสนี้ขายของต่อ และผลก็ปรากฏว่าแฟนคลับแห่มาให้กำลังใจ โดยเข้ามาซื้อของกันอย่างถล่มทลาย ทำให้ในวันนั้น เจนนี่ก็เลยไลฟ์ขายของไปยาว ๆ ถึง 18 ชั่วโมง และสามารถทำยอดขายได้ถึง 24 ล้านบาท และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของเทศกาลเจนนี่
ยอดขายปังด้วยกลยุทธ์ Shoppertainment
เพราะคนไทยชอบความสนุก ความบันเทิง ชอบเอนเทอร์เทนเมนต์ และชอบการมีส่วนร่วมกับผู้ขายโดยตรงในระหว่างการซื้อขายสินค้า ทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ “เทศกาลเจนนี่” ที่ผู้ซื้อได้ทั้งเสพย์เรื่องบันเทิงดราม่า พร้อมมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้ขายโดยตรง นอกจากนี้ผู้ชมที่มาดูไลฟ์นอกจากจะได้ดูคุณเจนนี่แล้ว ยังได้ดูดารา ศิลปินท่านอื่น ๆ มาร่วม join ไลฟ์สดนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ กระแต-อาร์สยาม หนุ่ม-กรรชัย ฯลฯ มารวมที่มีฐานแฟนคลับอย่างหนาแน่น จนส่งผลให้อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มติ๊กต็อก (TikTok) เปิดการมองเห็นและส่งผลให้คนได้ดูไลฟ์สดนี้มากขึ้นรื่อย ๆ จนก่อให้เกิดการรับรู้ขงผู้บริโภคท่านอื่น ๆ บนแพลตฟอร์มมากยิ่งขึ้น
ต้องรีบสั่งเพราะกลัวตกกระแส
โดยเราสามารถเรียกเหตุการณ์ที่คนแห่ไปซื้อของ หรือไปร่วมไลฟ์กับเจนนี่ได้ว่า การกลัวตกเทรนด์ หรือกลัวพลาดสิ่งสำคัญ แม้ห้วงเวลานั้นอาจจะยังไม่มีความจำเป็นจะต้องสั่งซื้อสินค้า (Fear of Missing Out หรือ FOMO)
ซึ่งการทำการตลาดแบบนี้แบรนด์ของเราเองก็สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้ เช่นเดียวกัน
- สร้างคอนเทนท์ที่เน้นการมีส่วนร่วมมากกว่าแค่โฆษณา – คอนเทนท์ที่ประสบความสำเร็จจะต้องเป็นลักษณะของ Shoppertainment ที่มอบทั้งความสนุก ความบันเทิง และการมีส่วนร่วมกับผู้ขายโดยตรง แบรนด์ควรเปลี่ยนจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบตรงไปตรงมาเป็นการสร้างเรื่องราว หรือกิจกรรมที่ผู้ชมสามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็น สอบถาม หรือได้รับความบันเทิงระหว่างการซื้อขาย
- สร้างคอลแลบร่วมกันระหว่างแบรนด์ – การที่แบรนด์อาจรวมตัวกันเพื่อออกสินค้าที่ไม่ได้มีขายออกมาบ่อย ๆ อย่างเช่น การที่ Butterbear x 7-11 สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัวทันที
- ใช้เทคนิค FOMO – การ้กลยุทธ์จำกัดเวลาในการนำเสนอสินค้าพิเศษ หรือการเชิญแขกรับเชิญ A-List ที่หาดูได้ยาก และมีเฉพาะในช่วงเวลานั้นๆ เท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจสั่งซื้อทันที โดยแบรนด์งร้านอาจจะสร้างเป็นแคมเปญแจกคูปองให้ลูกค้าทุกคน แต่มีการจำกัดสิทธิ์ให้เฉพาะลูกค้า 100 ท่านแรกเท่านั้นที่สามารถใช้สิทธิ์ได้ แบบนี้จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องรีบมาใช้สิทธิ์ที่ร้านเราไม่งั้นก็เหมือนเป็นการทิ้งสิทธิ์ไปเฉย ๆ เพียงแค่นี้เองก็สามารถใช้ฟีเจอร์คูปองทำการตลาดแบบ FOMO ได้แล้ว
บทเรียนสำคัญจากยอดขาย 500 ล้าน คือพลังของ FOMO ที่เหนือกว่าความจำเป็นในการซื้อสินค้าจริง แบรนด์ที่ชนะคือแบรนด์ที่สร้างกระแสให้ผู้คนกลัวตกเทรนด์ และสร้างความเร่งด่วนจนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อในทันที
0 Comments